Blog > การตลาด > เทคนิคการทำ SEO ช่วยให้ยอดขายธุรกิจปังๆ

เทคนิคการทำ SEO ช่วยให้ยอดขายธุรกิจปังๆ

Khun BigT 15 ส.ค. 2024 07:44

ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน การทำ SEO (Search Engine Optimization) ได้กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับธุรกิจหรือบุคคลที่ต้องการเพิ่มทราฟฟิกและการมองเห็นออนไลน์ SEO มีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงเนื้อหาและโครงสร้างของเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกของเบราว์เซอร์ (Browser)ซึ่งจะช่วยดึงดูดผู้เข้าชมมากขึ้น บทความนี้จะแนะนำวิธีการทำ SEO อย่างมีประสิทธิภาพ มาดูกันการทำ SEO ช่วยให้ยอดขายธุรกิจปังๆได้อย่างไร
 

ประโยชน์ของ SEO

1. เพิ่มการมองเห็นของเว็บไซต์
เครื่องมือค้นหาเป็นช่องทางหลักที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตใช้ในการค้นหาข้อมูล การทำ SEO ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดหน้าแรกในผลลัพธ์การค้นหา ซึ่งหมายความว่าเมื่อมีลูกค้าค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง เว็บไซต์ของคุณจะปรากฏอยู่หน้าแรกของพวกเขา
2. เพิ่มทราฟฟิกของเว็บไซต์
SEO ช่วยให้ดึงดูดผู้เข้าชมที่ตรงกับเป้าหมาย หรือผู้ที่สนใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ เว็บไซต์ที่มีติดหน้าต้นๆ มักจะได้รับคลิกมากขึ้น ซึ่งทำให้มีคอนเวอร์ชันมากขึ้น
3. เพิ่มความน่าเชื่อถือของแบรนด์
เว็บไซต์ที่ติดหน้าต้นๆผู้ใช้มักรู้สึกว่ามีความน่าเชื่อถือและมีความเป็นมืออาชีพ การทำ SEO ช่วยให้คุณเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์


วิธีการทำ SEO

 

1. การวิจัยคีย์เวิร์ด(keyword)
คีย์เวิร์ดเป็นพื้นฐานของ SEO การวิจัยและเลือกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ สามารถเรียนรู้พฤติกรรมการค้นหาของผู้ใช้ และสร้างเนื้อหาที่เน้นคีย์เวิร์ดเหล่านี้ การใช้เครื่องมือเช่น Google Keyword Planner, Ahrefs หรือ SEMrush สามารถช่วยคุณค้นหาคีย์เวิร์ดที่มีการค้นหาบ่อยแต่มีการแข่งขันต่ำ

2. การปรับปรุงเนื้อหาหน้าเว็บ
การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและมีคุณค่าสำหรับผู้ใช้เป็นกุญแจสำคัญของ SEO ที่ประสบความสำเร็จ ในส่วนนี้ ระบบจัดการเนื้อหา (CMS, Content Management System) มีบทบาทสำคัญ CMS คือซอฟต์แวร์ที่ใช้สร้าง แก้ไข บริหารจัดการ และเผยแพร่เนื้อหา ซึ่งทำให้คุณสามารถจัดการเนื้อหาเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้นและปรับปรุง SEO ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

👉การสร้างและจัดการเนื้อหาที่ง่ายขึ้น👈: ผ่าน CMS คุณสามารถสร้างและจัดการเนื้อหาเว็บไซต์ได้โดยไม่ต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับโค้ด แพลตฟอร์ม CMS ส่วนใหญ่ เช่น WordPress, Joomla หรือ Drupal มีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย ทำให้การสร้างและอัปเดตเนื้อหาเป็นเรื่องง่าย นอกจากนี้ CMS ยังมีเครื่องมือและปลั๊กอินที่ช่วยในการปรับปรุง SEO เช่น การปรับแต่งหัวข้อ รายละเอียดMeta โครงสร้าง URL และแท็ก alt ของภาพ
👉ปรับปรุงการค้นพบเนื้อหา👈: แพลตฟอร์ม CMS ส่วนใหญ่รองรับฟังก์ชันการจัดหมวดหมู่และการใส่แท็ก ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยจัดระเบียบเนื้อหาเว็บไซต์ แต่ยังเพิ่มโอกาสที่เนื้อหาจะถูกค้นพบในเครื่องมือค้นหา การใช้หมวดหมู่และแท็กอย่างเหมาะสม ช่วยปรับปรุงโครงสร้างลิงก์ภายในเว็บไซต์ดีขึ้น ทำให้เครื่องมือค้นหาสามารถรวบรวมและเข้าใจเนื้อหาของคุณได้ง่ายขึ้น
👉การออกแบบที่ตอบสนองต่อการใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่👈: CMS สมัยใหม่มักรองรับการออกแบบที่ตอบสนองต่อขนาดหน้าจอต่างๆ ซึ่งหมายความว่าเว็บไซต์ของคุณสามารถปรับตัวเพื่อให้เหมาะสมกับขนาดหน้าจอที่แตกต่างกันได้ การเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับ SEO เนื่องจากเว็บไซต์ที่เหมาะสมกับการใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่มักจะมีอันดับที่ดีกว่าในเครื่องมือค้นหา
👉การจัดการเวอร์ชันเนื้อหา👈: CMS ช่วยให้คุณสามารถอัปเดตและปรับปรุงเนื้อหาโดยไม่ส่งผลกระทบต่อเนื้อหาออนไลน์ที่มีอยู่ การควบคุมเวอร์ชันช่วยให้คุณสามารถทดสอบและปรับแต่งกลยุทธ์ SEO ได้ง่ายๆ เพื่อให้แน่ใจว่าเนื้อหาเว็บไซต์ของคุณยังคงมีความสดใหม่และเป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุด
👉การรวมปลั๊กอินและเครื่องมือ SEO👈: CMS ส่วนใหญ่รองรับการรวมเครื่องมือและปลั๊กอิน SEO หลากหลาย เช่น Yoast SEO, All in One SEO Pack เป็นต้น เครื่องมือเหล่านี้มีฟังก์ชันต่างๆ เช่น คำแนะนำในการปรับแต่งคีย์เวิร์ด การวิเคราะห์เนื้อหา การสร้างแผนผังเว็บไซต์ XML ซึ่งช่วยให้คุณดำเนินการตามกลยุทธ์ SEO ได้ดีขึ้น

การใช้ CMS อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้คุณสามารถเพิ่มคุณภาพและความสามารถในการค้นพบของเนื้อหาได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งส่งผลดีต่อการแสดงผลของเว็บไซต์ในเครื่องมือค้นหา
3.การปรับปรุงทางเทคนิค
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าโครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิคของเว็บไซต์สอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดของ SEO เช่น ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ โครงสร้าง URL ที่ชัดเจน การปรับปรุงการใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ และการไม่มีลิงก์เสียหรือเนื้อหาที่ซ้ำซ้อน CMS ยังช่วยในด้านนี้ด้วย โดยมีเครื่องมือภายในที่ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์หรือรองรับการติดตั้งปลั๊กอินจากบุคคลที่สามเพื่อช่วยตรวจสอบและปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์
4.การสร้างลิงก์คุณภาพสูง
ลิงก์ภายนอกหมายถึงการที่เว็บไซต์อื่นๆ เชื่อมโยงมายังเว็บไซต์ของคุณ เครื่องมือค้นหาถือว่าลิงก์คุณภาพสูงเหล่านี้เป็นการยอมรับเนื้อหาของคุณ ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มอันดับของเว็บไซต์ได้ คุณสามารถสร้างลิงก์เหล่านี้ได้โดยการเผยแพร่เนื้อหาที่มีคุณค่า การเขียน blog บนเว็บไซต์อื่นๆ หรือการร่วมมือกับเว็บไซต์อื่น

5.การตรวจสอบและปรับปรุงเป็นระยะๆ
SEO ไม่ใช่กิจกรรมที่ทำเพียงครั้งเดียว แต่เป็นกระบวนการที่ต้องปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ใช้เครื่องมืออย่าง Google Analytics หรือ Google Search Console เพื่อตรวจสอบทราฟฟิกเว็บไซต์ อันดับคีย์เวิร์ด และพฤติกรรมของผู้ใช้เป็นระยะๆ เพื่อปรับกลยุทธ์ SEO ให้เหมาะสม CMS มักจะรวมเครื่องมือวิเคราะห์เหล่านี้เข้าไป ทำให้คุณสามารถเข้าถึงและวิเคราะห์ข้อมูล SEO ได้ง่ายขึ้น และปรับแต่งให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

 

การทำ SEO ด้วยตัวเองสามารถทำได้หรือไม่?


คำตอบคือทำได้ โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กอย่าง E-commerce หรือเว็บไซต์ส่วนตัว ในขั้นเริ่มต้นของ SEO คุณสามารถเรียนรู้พื้นฐานและใช้เครื่องมือ SEO บางอย่างเพื่อปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณเอง การใช้ CMS ช่วยลดข้อจำกัดทางเทคนิค ทำให้แม้แต่ผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านเทคนิคก็สามารถทำ SEO ด้วยตนเองได้ อย่างไรก็ตาม SEO เป็นงานที่ซับซ้อนและครอบคลุมหลายด้าน ทั้งการสร้างเนื้อหา การปรับปรุงทางเทคนิค และการสร้างลิงก์ หากธุรกิจของคุณมีขนาดใหญ่ หรือหากคุณต้องการแข่งขันในตลาดที่มีการแข่งขันสูง อาจต้องพิจารณาว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญหรือเอเจนซี่ที่มีความเชี่ยวชาญด้าน SEO


ข้อควรระวังในการทำ SEO ด้วยตัวเอง


1. หลีกเลี่ยงการใช้ Black Hat SEO
Black Hat SEO หมายถึงการใช้เทคนิคการโกงเพื่อให้ได้ติดหน้าแรกในเครื่องมือค้นหา เช่น การใช้คีย์เวิร์ดเกินขอบเขต การซ่อนข้อความ หรือการซื้อขายลิงก์ การทำเช่นนี้อาจทำให้ติดหน้าต้นๆ ได้ แต่ถูกเครื่องมือค้นหาจับได้ อาจทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกลดอันดับหรือถูกแบนได้

2. เนื้อหาคือหัวใจสำคัญ
แม้ว่าการปรับแต่งทางเทคนิคและการสร้างลิงก์ภายนอกจะมีความสำคัญ แต่เนื้อหายังคงเป็นหัวใจของ SEO ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณมีประโยชน์ต่อผู้ใช้ เป็นเอกลักษณ์ และมีการอัปเดตเป็นประจำ CMS (ระบบจัดการเนื้อหา) สามารถช่วยให้คุณจัดการและอัปเดตเนื้อหาได้อย่างง่ายดาย ทำให้เนื้อหามีความสดใหม่และสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้เสมอ
3. เรียนรู้และอัปเดตอย่างต่อเนื่อง
อัลกอริทึมของเครื่องมือค้นหามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา กลยุทธ์ SEO จึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตามเช่นกัน รักษาทัศนคติที่พร้อมเรียนรู้ และติดตามข่าวสำคัญในวงการ SEO เพื่อให้แน่ใจว่างานปรับแต่งของคุณยังคงมีประสิทธิภาพ


สรุป
SEO เป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มทราฟฟิกและการมองเห็นแบรนด์ของคุณ การทำวิจัยคีย์เวิร์ดที่ถูกต้อง การปรับปรุงเนื้อหา การปรับแต่งทางเทคนิค และการสร้างลิงก์ภายนอกอย่างถูกวิธี จะช่วยเพิ่มอันดับของเว็บไซต์ในเครื่องมือค้นหา และดึงดูดลูกค้าที่มีศักยภาพมากขึ้น การใช้ CMS สามารถทำให้กระบวนการนี้ง่ายขึ้นมาก แม้แต่มือใหม่ก็สามารถทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณสนใจการทำ SEO ด้วยตัวเองก็เป็นไปได้ แต่ต้องระวังการใช้เทคนิคที่ไม่เหมาะสมเช่น Black Hat SEO หากคุณปฏิบัติตามกลยุทธ์ที่ถูกต้อง เว็บไซต์ของคุณจะโดดเด่นในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้อย่างแน่นอน